Monday, December 7, 2009

Differential Settlement การพังของโครงสร้างที่ทรุดต่างกัน

สําหรับการออกแบบฐานรากที่รองรับโครงสราง หากเกิดมีการทรุดตัวไมเทากัน (Differential Settlement) ระหวางสองจุดใดๆ ในโครงสรางมากเกินไป อาจจะทําใหโครงสรางเกิดความเสียหายได อันเนื่องมาจากโมเมนตที่เพิ่มขึ้น การทรุดตัวไมเทากันก่อใหเกิดปญหาไดมากกวาการทรุดตัวสม่ำเสมอ (Uniform Settlement) โดยทําใหโครงสรางเกิดการบิด(Distortion) กอใหเกิดผลที่ตามมาคือ เกิดรอยแตกตามกําแพง พื้น และชิ้นสวนอื่นๆ เมื่อมีปริมาณมากๆ จะทําใหโครงสรางแยกออกจากกัน และนําไปสูการวิบัติตอไป บทความนี้ไดเสนอแนวทางการประเมินการทรุดตัวไมเทากัน รวมถึงเสนอวิธีลดการทรุดตัวไมเทากันของโครงสราง

In design of foundations for a structure, if there is a large differential settlement between two columns or various part of a structure, damage may occur due to developed additional moments. Differential settlement is more harmful to a structure than uniform settlement because it distorts the structure. Differential settlement causes cracking in walls, floors, and other members. The failure of a structure may occur if the amount of differential settlement is excessive. This paper presents the evaluation method for differential settlement on a structure including methods of remedying differential settlement problems.

ฐานรากที่วางบนชั้นดินตางๆ ยอมเกิดการทรุดตัว ขึ้นไดเมื่อเวลาผานไป โดยปริมาณและรูปแบบการทรุดตัวของฐานรากแตละแบบจะมีความแตกตางกันไป เชน ฐานรากตื้น (Shallow Foundation) ยอมทรุดตัวไดมากกวาฐานรากเสาเข็ม (Pile Foundation) หรือแมแตฐานรากเสาเข็มที่มี ความยาวตางกันก็ทรุดตัวไมเทากันได วิศวกรโยธาตองเรียนรูที่จะปองกันระบบฐานรากไมใหผลของการทรุดตัวถึง ขีดสุดที่ใชงานได (Serviceability limit states) ดังแสดงใน ตารางที่ 1

ในทางวิศวกรรมโยธาไดจําแนกลักษณะของการทรุดตัว ไวเปน 2 แบบ คือ

1. การทรุดตัวทั้งหมด (Total Settlement) คือ ขนาด การเคลื่อนที่ลงของอาคารหรือดินถม

2. การทรุดตัวไมเทากัน (Differential Settlement) คือ ขนาดความแตกตางกันระหวางการทรุดตัวของบริเวณสองแหง

2. ลักษณะความเสียหายและสาเหตุของการทรุดตัว

2.1 ความเสียหายจากการทรุดตัวทั้งหมด หรือการทรุดตัว แบบสม่ำเสมอ มักเกิดจากขีดจํากัดของการระบายน้ำ ทําใหเกิดความเสียหายตอโครงสรางขางเคียง และระบบสาธารณูปโภค แมวาการทรุดตัวจะเกิดขึ้นสม่ำเสมอหรือเกือบสม่ำเสมอ แตหากมีคามากก็สามารถทําใหเกิดปญหาได เชน การทรุดตัว ในบริเวณใกลแมน้ำลําธาร อาจทําใหเกิดน้ำทวมในชวงที่ระดับน้ำสูงขึ้น การคํานวณหาปริมาณการทรุดตัวทั้งหมด ตองอาศัยพื้นฐานการคํานวณทางดานวิศวกรรมปฐพี ซึ่ง สามารถศึกษาเพิ่มเติมไดจากหนังสือวิศวกรรมปฐพี และปฐพีกลศาสตรทั่วไป

2.2 ความเสียหายจากการทรุดตัวที่ไมเทากัน วิศวกรออกแบบโครงสรางที่วางอยูบนฐานรากโดยคํานวณการทรุดตัวของโครงสรางไวเปนอยางดี และคาด หวังวาจะมีการทรุดตัวเทากันในทุกๆ จุดของโครงสราง แตในความเปนจริงแลวนั้นกลับไมเปนตามที่คำนวณไว โดย พบวา บางตําแหนงกลับทรุดตัวนอย แตบางแหงกลับทรุดตัวมาก นั่นคือ เกิดการทรุดตัวไมเทากัน

การทรุดตัวไมเทากัน (δD) หมายถึง ผลตางของการทรุดตัวจริงระหวางฐานราก 2 ฐาน หรือระหวาง 2 จุดในฐานรากเดียวกัน การทรุดตัวไมเทากันกอใหเกิดผลเสีย และสงผลกระทบคอนขางรุนแรงมากกวาการทรุดตัวสม่ำเสมอ เนื่องจากการทรุดตัวไมเทากันมักจะทําใหโครงสรางเกิดการบิด (Distortion) ซึ่งผลที่ตามมาคือ เกิดรอยแตกตามกําแพง พื้น และชิ้นสวนอื่นๆ เปด/ปดประตูหนาตางไมได หรือเกิดปญหาเรื่องความสวยงามทางสถาปตยกรรม เปนตน การทรุดตัวไมเทากันที่มากเกินไปจะทําใหโครงสรางแยกออกจากกัน และนํา ไปสูการวิบัติตอไป โดยทั่วไปการทรุดตัวไมเทากันจะแสดงอาการขั้น แรกที่ผนังกออิฐกอน โดยเริ่มเกิดการราวเปนเสนทแยง มุมประมาณ 45 องศากับแนวราบ จากนั้นรอยราวจะกวางขึ้น และยาวขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดอาจจะเกิดการวิบัติของโครงสรางตรงรอยเชื่อมระหวางคานกับเสาและที่หัวเสา ซึ่งธรรมชาติของการทรุดตัวไมเทากันทําใหเกิดผลเสียหายไดหลายประการ คือ

(ก) ทําใหโครงสรางเอียง กรณีที่โครงสรางเอียงไม มากจะทําใหสังเกตไมเห็น และไมทําให ประโยชนใชสอยของโครงสรางลดลง แตถาเกิดการเอียงที่มากกวา 1 : 250 จะสามารถสังเกตเห็นไดดวยตาเปลา

(ข) การทรุดตัวไมเทากันทําใหเกิดรอยราว รูปทรงทางสถาปตยกรรมเสียหาย หากการทรุดตัวไมเทากันมากขึ้น บานประตูและหนาตางจะเสียรูปทรงจนกระทั่งไมสามารถใชงานได พื้นและบันไดแตกหักเสียหาย และทําใหกระจกหนา ตางแตก ในขั้นนี้ประโยชนการใชสอยของอาคารจะลดลงอยางมาก

(ค) การทรุดตัวไมเทากันที่มีคามาก อาจทําใหรอยราวของโครงสรางแผขยายออกไปมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งโครงสรางทั้งหมดเสียหาย และโครงสรางจะพังทลายลงโดยงายเมื่อเกิดแผนดินไหว

(ง) ถาโครงสรางทรุดตัวเมื่อเทียบกับดินที่อยูโดย รอบ หรือดินที่อยูโดยรอบทรุดตัวเมื่อเทียบกับโครงสราง ทางเขาของอาคารจะแตกแยกออกจากกัน หรือทําใหทอประปาแตกหักเสียหายได

2.3 สาเหตุของการทรุดตัวที่ไมเทากัน

การทรุดตัวไมเทากัน เกิดจากสาเหตุหลายประการ ไดแก

ความไมสม่ำเสมอของชั้นดิน ชั้นดินบางตําแหนงใตฐานรากอาจเปนดินแข็ง บางแหงเปนดินออน ซึ่งจะทําใหเกิดการยุบตัวที่ไมเทากัน หรือกรณีที่มีตาน้ำใตฐานรากบางฐาน หรือบางบริเวณเคยเปนคูน้ำ หรือเปนบอน้ำ หรือที่ลุมมากอน หรือมีการปลอยน้ำใหแฉะอยูบริเวณเดียวเปนเวลานาน จะทําใหดินในบริเวณนั้นรับน้ำหนักไดนอยกวาบริเวณขาง เคียง จึงทําใหเกิดปญหาการทรุดตัวไมเทากันแกฐานรากได ดังนั้นถาจะคํานวณออกแบบโครงสรางในบริเวณที่ไมมีขอมูลเกี่ยวกับสภาพ

ชั้นดินเพียงพอ ควรจะทําการเจาะสํารวจสภาพชั้นดิน (Soil Boring) กอนทุกครั้ง เพื่อใชเปนขอมูลในการออกแบบตอไป

ความยาวของเสาเข็มในแตละฐานของอาคารหลังเดียวกันตางกันมาก การใชเสาเข็มที่มีความยาวตางกันมากในอาคารหลังเดียวกัน ปลายเสาเข็มจะจมอยูในดินที่มีความแข็งไมเทากัน ดังนั้นจึงเกิดการทรุดตัวที่ไมเทากัน อัตราสวนของแรงกระทําจริงและแรงกระทําที่ออกแบบไวแตกตางกันในเสาแตละตน ทําใหแรงที่สงถายลงสูฐานรากไมเทากัน ในกรณีที่ฐานรากขนาดหนึ่งขนาดใดรับน้ำหนักบรรทุกที่แตกตางกันมากเกินไป อาจทําใหเกิดการทรุดตัวไมเทากันได แมวาจะออกแบบฐานราก

ดังกลาวไวสําหรับรับน้ำหนักบรรทุกมากที่สุดก็ตาม ดังนั้นจึงไมควรอยางยิ่งที่จะออกแบบฐานรากเพียงหนึ่งหรือสองขนาดที่รับน้ำหนักบรรทุกมากที่สุด สวนฐานรากที่เหลือทั้งหมดก็ใชขนาดเหมือนกับฐานรากนี้ เพราะจะทําใหเกิดการทรุดตัวไมเทากันขึ้น เนื่องจากฐานรากที่รับน้ำหนักมากจะทรุดตัวมาก สวนฐานรากที่รับน้ำหนักนอยก็จะทรุดตัวนอย ในกรณีของฐานรากเสาเข็ม ใหคํานวณหาจํานวนเสาเข็มที่พอดีกับน้ำหนักบรรทุกที่กระทําบนฐานรากแตละฐาน

อัตราสวนของน้ำหนักบรรทุกตายตัวและน้ำหนักบรรทุกจร แตกตางกันในเสาแตละตน

ขนาดของฐานรากที่กอสรางจริงอาจแตกตางจากขนาดของฐานรากตามแปลนกอสราง

ความแข็งเกร็ง (Rigidity) ของโครงสรางสามารถทําใหเกิดการทรุดตัวไมเทากัน กลาวคือ โครงสรางที่แข็งเกร็งมากกวายอมสามารถกระจายแรงกระทําใหชิ้นสวนอื่นของโครงสรางไดดีกวา จึงมีความสามารถที่จะตาน ทานการทรุดตัวไมเทากันไดดีกวา ดังแสดงในรูปที่ 3

การทรุดตัวไมเทากันทําใหเกิดการเอียง และกอปญหาที่รุนแรงมากกวาการทรุดแบบสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในอาคารสูง เพราะวาการเอียงมักทําใหโครงสรางบิดเบี้ยว และมีผลทําใหเกิดหนวยแรงดัดในโครงสราง ซึ่งเปนที่มาของรอยแตกที่ตําแหนงตางๆ ของโครงสราง ซึ่งในทางวิศวกรรมสามารถแสดงดวยคาการบิดเชิงมุม (Angular Distortion, θ)

ซึ่งสมการคือ θ=δD/S

เมื่อ δ D คือ การทรุดตัวที่ตางกันมากที่สุดระหวางจุดสองจุด

และ S คือ ระยะหางระหวางสองจุดที่เกิดการทรุดตัวไมเทากัน

ในทางทฤษฎีหากสามารถจําลองพฤติกรรมของดินที่ถูกตอง และรูลักษณะเงื่อนไขของแรงที่แนนอน รวมถึงคาความแปรปรวนของคุณสมบัติของดิน จะทําใหสามารถคํานวณ หาแรงบิดที่ทําใหโครงสรางเสียหาย แตในความเปนจริงแลวขอมูลดังกลาวยากที่จะรูไดอยางแนนอน จึงตองมีการนําขอมูลที่ไดจากการตรวจวัดโครงสรางประเภทตางๆ ในสนามมาเปรียบเทียบ เพื่อหาคาที่เหมาะสมสําหรับโครง สรางที่มีการใชงานตางๆ กัน

3. การทรุดตัวไมเทากันที่ยอมใหได (Maximum Allowable Differential Settlement)

ในการออกแบบจะตองมีการกําหนดคามากที่สุดของการทรุดตัวไมเทากันที่ยอมใหได (Maximum Allowable Differential Settlement, δ Da) ทั้งนี้คาการทรุดตัวไมเทากันที่เกิดขึ้นจริง (δD) จะตองมีคาไมเกินคานี้ (δD ≤ δDa)

การหาคามากที่สุดของการทรุดตัวไมเทากันที่ยอมให ไดสําหรับโครงสรางใดๆ นั้น พิจารณาจากขนาดที่ทําใหประตู/หนาตางเปด-ปดไมได มีรอยแตกขนาดใหญจํานวนมากบนกําแพง และตามชิ้นสวนของโครงสรางตางๆ รวมถึงตองพิจารณาในแงความสวยงามของโครงสราง ในการสรางแบบจําลองของโครงสรางเพื่อวิเคราะหหาขนาดของ δDa ทําไดยากมาก เพราะตัวแปรที่เกี่ยวของซึ่งตองนํามาคํานวณนั้นมีตั้งแตขนาด ชนิดของโครงสราง วัสดุที่ใชในการกอสราง ลักษณะชั้นดิน อัตราการทรุดตัว และความสม่ำเสมอในการทรุดตัว เปนตน ดังนั้นในทางปฏิบัติ วิศวกรจึงใชวิธีการเอมไพริคอล (Empirical Method) โดยการวัดการทรุดตัวไมเทากันที่เกิดขึ้นจริงในโครงสราง และประเมินการใชงานในขณะนั้นๆ การศึกษาตามวิธีการนี้ มีผูไดศึกษาไวเปนจํานวนมาก ไดแก Skempton and MacDonald (1956), Polshin and Tokar (1957) และ Grant et al. (1974) เปนตน โดย Skempton and MacDonald (1956) ไดสํารวจอาคาร 98 แหง และพบวา 40 แหงที่เกิดความเสียหายนั้นเกิดการแตกราวของสวนตกแตงพื้นผิว เชน ผิวปูนฉาบ สวนการศึกษาของ Polshin and Tokar (1957) เปนการศึกษาโครงสรางในประเทศรัสเซีย โดยการสังเกตอาคารตางๆ มาเปนเวลากวา25 ป ขณะที่การศึกษาของ Grant et al. (1974) บนอาคาร 95 แหง พบวา 56 แหงเกิดความเสียหาย ผลสรุปจากขอมูลการศึกษาของกลุมคณะตางๆ ดัง กลาวขางตน ซึ่งจะอยูในรูปคาการบิดเชิงมุมที่ยอมใหเกิดได (Allowable Angular Distortion, θa) ที่ไมทําใหโครงสรางแตกราวเสียหาย แสดงไวในตารางที่ 2 โดยคาเหลานี้ไดจากการรวมคาพิกัดความปลอดภัย (Factor of Safety) ที่มากกวา 1.5 ไวแลว

ดังนั้น δDa = θaS ..... (1)

โดยที่

δDa = การทรุดตัวไมเทากันที่ยอมใหได

θa = การบิดเชิงมุมที่ยอมใหได

S = ระยะหางระหวางเสาที่ใชคํานวณ

นอกจากนี้ผลจากขอมูลเอมไพริคอลยังพบวา อาคารทั่วไปจะเกิดความเสียหายตอสถาปตยกรรม

เมื่อคาการบิดเชิงมุม (θ) = 1/300 และเกิดความเสียหายตอโครงสราง เมื่อคาการบิดเชิงมุม (θ) = 1/150



4. การคํานวณการทรุดตัวไมเทากันของฐานรากแผ

การประมาณคาการทรุดตัวไมเทากันของฐานรากแผทําได 2 วิธี โดยวิธีการแรกคํานวณการทรุดตัวของฐานรากทุกฐานโดยใชเงื่อนไขชั้นดิน และน้ำหนักบรรทุกสําหรับฐานรากนั้นๆ โดยใชเงื่อนไขที่ทําใหดินมีการทรุดตัวมาก และเงื่อนไขที่ทําใหดินมีการทรุดนอย และนํามาเปรียบ เทียบกัน ผลตางของการทรุดตัวทั้งหมดที่คํานวณจากสองเงื่อนไขนี้ คือการทรุดตัวไมเท่ากันนั่นเอง สวนอีกวิธีจะหาการทรุดตัวไมเทากัน (δD) จากการทรุดตัวทั้งหมด (δ) โดยใชอัตราสวน δD/δ ที่ไดจากการสังเกตโครงสรางที่คลายๆ กันที่วางอยูบนชั้นดินคลายๆ กัน โดยวิธีนี้สามารถใชกราฟที่ศึกษาโดย Bjerrum (1963) ซึ่งเปรียบเทียบการทรุดตัวทั้งหมดกับการทรุดตัวไมเทากัน บนชั้นดินเหนียวและชั้นดินทราย ดังแสดงในรูป 4 และ 5 โดย

ชั้นดินที่ศึกษาเปนดินในแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีลักษณะออน เสนกราฟที่ไดจึงแสดงการทรุดในปริมาณที่สูง แตอยางไรดีการนํากราฟทั้งสองนี้ไปใชงานในพื้นที่ที่ตางออก ไป ควรตองหาเสนกราฟความสัมพันธสําหรับดินในพื้นที่นั้นๆ เพราะดินในแตละแหงยอมมีลักษณะเฉพาะและใหผลที่แตกตางกัน ในกรณีที่ไมสามารถหาขอมูลอัตราสวน δD/δ สําหรับพื้นที่นั้นๆ ได อาจใชขอมูลในตารางที่ 3 ซึ่งขอมูลนี้ไดปรับมาจากขอมูลของหลายพื้นที่ และมีความปลอดภัยอยูพอควร


5. แนวทางปองกันการทรุดตัวไมเทากัน

หากมีการทรุดตัวไมเทากันมากเกินไป (δD > δDa) จะ ตองมีการแกไข อาจจะปรับการออกแบบ แมวาการทรุดตัวทั้งหมดยังอยูในเกณฑก็ตาม วิธีการแกไขสามารถทําไดหลายแนวทาง ดังนี้

เพิ่มขนาดของฐานรากจนการทรุดตัวไมเทากันอยูในเกณฑที่ยอมรับได ซึ่งทําโดยใชคา δDa และอัตราสวน δD/δ เพื่อหาคาของ δ a (การทรุดทั้งหมด) และปรับขนาดฐานรากตามคาของ δa ที่ได

เชื่อมฐานรากโดยใชคาน (Grade Beam) เพื่อเพิ่มความแข็งเกร็ง ทําใหการทรุดตัวไมเทากันลดลง โดยสามารถใชหลักการวิเคราะหโครงสราง เพื่อหาปริมาณการทรุดตัวไมเทากันที่ลดลงไปได

เปลี่ยนฐานรากแผ (Spread Footing) เปนฐานรากแพ (Mat Foundation) เพื่อเพิ่มความแข็งเกร็ง และทําใหการทรุดตัวไมเทากันลดลงได

เปลี่ยนระบบฐานรากใหเปนฐานรากลึก (Deep Foundation)

6. บทสรุป

ในการออกแบบฐานราก สิ่งที่ตองคํานึงถึงนอก จากการรับน้ำหนักบรรทุกแลว วิศวกรจะตองออกแบบฐานรากใหเกิดปริมาณการทรุดตัวอยูในเกณฑที่กําหนด ทั้งนี้การทรุดตัวสม่ำเสมอจะไมทําใหเกิดความเสียหายตอโครง สรางมากเทากับการทรุดตัวไมเทากัน เนื่องจากการทรุดตัวไมเทากันทําใหโครงสรางเกิดการบิด และสงผลใหโครง สรางเกิดการวิบัติไดงายกวา วิศวกรสามารถใชวิธีเอมไพริคอล (Empirical Method) เปนแนวทางในการออกแบบ และประมาณการทรุดตัวไมเทากันของฐานราก ซึ่งจะทําใหการออกแบบฐานรากมีความมั่นคง และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

วิศิษฐ อยูยงวัฒนา

ผูชวยศาสตราจารย ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดลอม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยรังสิต

Email: wisit@rangsit.rsu.ac.th


Thursday, December 3, 2009

HIA งานที่ต้องทำเพิ่ม เงินที่ต้องเตรียมจ่าย











สารเคมีไม่ใช่เชื้อโรคที่จะมียาฆ่าหรือต้าน ที่ทำได้คือการแก้หรือบรรเทา เช่นเจอกรดก้อเอาด่างไปใส่ เจอด่างก้อเอากรดไปใส่ เพื่อให้เกิดความป็นกลางหรือทำให้เจือจางลง ดังนั้น อุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบกับสุขภาพ จึงต้องให้ความสนใจเรื่องการทำ HIA ประกอบกับงานด้าน EIA ไม่ใช่เป็นความต้องการของรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเรื่องของทั่วโลกเขาก้อให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป การที่นักลงทุนไม่เข้าใจ จึงเป็นประเด็นที่บอกว่า ถ้าคิดจะมาลงทุน ก้อจำเป็นที่ต้องเข้าใจข้อกำหนดต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เมื่อก่อนประเทศไทยก้อไม่มีการทำ EIA แต่ต่อมาภายหลังที่ประเทศพัฒนาแล้วให้ความใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมข้อกำหนดต่างๆ จึงเกิดขึ้น ในเมื่อเราเป็นประเทศที่เอาตามอย่าง เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องห่วงว่า เขาจะไม่เข้าใจ การเปลี่ยนฐานการลงทุน เพื่อไปในประเทศที่มีกฎเกณฑ์ต่ำ สุดท้าย ก้อจะหนีไม่พ้นการที่ไปสร้างปัญหาให้กับพื้นที่อื่นอยู่ดี การทำให้ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เสียเวลาเสียเงิน ทำให้ถูกต้อง เพื่ออนาคตของโครงการต่างๆ ที่จะมีตามมาด้วย

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องให้ความใส่ใจ กับการทำงานที่มีความต้องการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EIA-HIA-SAFETY-QA/QC งานในภูมิภาคอื่นข้อกำหนดต่างๆ เอาแค่ความปลอดภัยในการทำงาน กับงานคุณภาพ ดูเหมือนว่าจะเพิ่มต้นทุนและความยุ่งยากในการทำงานไม่ใช่น้อย แต่คราวนี้เพิ่มขึ้นมาอีก 2 ส่วน ดังนั้น จำเป็นจะต้องมาดูว่า จะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง ถ้าไม่มีการเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ สุดท้ายก้อทำโดยการหลีกเลี่ยง กฎหมายควรกำหนดว่าทุกโครงการต้องมีการเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ชัดเจน เพราะถ้าไม่มีก็จะเป็นการเปิดช่องให้มีการหลีกเลี่ยงในที่สุด

Introduction

Health impact assessment (HIA) is a tool for facilitating the intersectoral action that has been advocated by policies such as health for all and Agenda 21 for years. HIA is defined as “a combination of procedures, methods and tools by which a policy, programme or project may be judged as to its potential effects on the health of a population, and the distribution of those effects within the population.”1 HIA goes beyond providing information – it aims to influence decisions and the people who make them. HIA’s participatory approach brings together people from a range of sectors, and from the community to consider how a proposed policy, programme or project may positively or negatively impact on health. As such, it is an important tool for raising awareness of the wide range of economic, social and environmental influences that determines health.
Some milestones in HIA
  • 1981 Establishment of PEEM (Panel of Experts in Environmental Management for vector control) by WHO, FAO and UNEP.1
  • 1984 Start of the HIA component as part of annual EIA training at the Centre for Environmental Impact Assessment and Management in Aberdeen (partly sponsored by WHO Europe). Annual sessions continued up to the beginning of the 1990s.2
  • 1986 WHO meeting on the Health and Safety component of environmental impact assessment (22).
  • 1988 Analysis of the methodological and substantive issues affecting human health considerations by the Monitoring and Assessment Research Centre, London (23).
  • 1989 First edition of the Guidelines for forecasting the vector-borne disease implications of water resources development by PEEM (24).
  • 1991 Survey on HIA/EIA practice in Canada (25).
  • 1992 Handbook for practitioners on environmental and health impact assessment of development projects (26).
  • 1992 Asian Development Bank guidelines for the health impact assessment of development projects (27).
  • 1993 Quebec Framework for HIA/EIA, including a section on social impact assessment (28).
  • 1994 Australian national framework for environment and health impact assessment (29).
  • 1994 Publication of the German Framework on HIA/EIA (30).
  • 1997 Update on HIA in the Environmental Assessment Sourcebook of the World Bank (12).
  • 1998 Publication on health and environmental impact assessment by the British Medical Association (31).
  • 1998 HIA Section at the International Association for Impact Assessment.
  • 1999 Gothenburg Consensus Paper on HIA (32).
  • 2000 The Canadian handbook on health impact assessment – a work in progress (33).
  • 2000 Memorandum of Understanding between the International Association for Impact Assessment and the World Health Organization.


The HIA process has the potential to:

• Increase awareness about the health effects of plans for transport, the built environment housing, social services, education, etc.
• Establish a shared understanding of health (in the context of sustainable development) among a wide range of stakeholders.
• Create a sense of responsibility for health among sector representatives, while providing a clear process for taking action to improve health.
• Identify interventions to minimize negative and maximize positive health outcomes, based on intersectoral action.
• Place health at the heart of policy-making.
• Provide a systematic approach for integrating the principle of equity into decision making.
• Provide a better understanding of local needs for public services and the way they are used, enabling sectors to better target resources.
• Highlight opportunities to coordinate actions across sectors.


Guiding Principles for HIA

Adapted from: Quigley R, den Broeder L, Furu P, Bond A, Cave B, Bos R. Health Impact Assessment International Best Practice Principles. Fargo, USA: International Association of Impact Assessment, 2006.

Democracy – emphasizing the right of people to participate in the formulation and decisions of proposals that affect their life, both directly and through elected decision makers. In adhering to this value, the HIA method should involve and engage the public, and inform and influence decision makers. A distinction should be made between those who take risks voluntarily and those who are exposed to risks involuntarily (World Health Organization, 2001).

Equity – emphasizing the desire to reduce inequity that results from avoidable differences in the health determinants and/or health status within and between different population groups. In adhering to this value, HIA should consider the distribution of health impacts across populations, paying specific attention to vulnerable groups and recommend ways to improve the proposed development for affected groups.

Sustainable development – emphasizing that development meets the needs of the present generation without compromising the ability of future generations to meet their own needs. In adhering to this value, the HIA method should judge short- and long-term impacts of a proposal and provide those judgments within a time frame to inform decision makers. Good health is the basis of resilience in the human communities that support development.

Ethical use of evidence – emphasizing that transparent and rigorous processes are used to synthesize and interpret the evidence, that the best available evidence from different disciplines and methodologies is utilized, that all evidence is valued, and that recommendations are developed impartially. In adhering to this value, the HIA method should use evidence to judge impacts and inform recommendations; it should not set out to support or refute any proposal, and it should be rigorous and transparent.

Comprehensive approach to health – emphasizing that physical, mental and social well-being is determined by a broad range of factors from all sectors of society (known as the wider determinants of health). In adhering to this value, the HIA method should be guided by the wider determinants of health.